นิทานเวตาลเรื่องที่ 10

นิทานเวตาล
                       เป็นฉบับพระนิพนธ์พระราชวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณมีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยเรื่องเดิมมีชื่อว่า  เวตาลปัญจวิงศติ  (Vetala Panchvim shati  แปลว่า  นิทาน ๒๕ เรื่องของเวตาล  (ปัญจะ = ๕วิงศติ = ๒๐)  ศิวทาสได้แต่งไว้แต่โบราณ  และโสมเทวะได้นำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่และรวมไว้ในหนังสือชื่อ  กถาสริตสาคร (Katha - sarita - sagara)  ในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒
                       ต่อมาในระหว่าง ค.ศ. ๑๗๑๙ - ๑๗๔๗  พระราชาแห่งกรุงชัยปุระโปรด ฯ ให้แปลนิทานเวตาลจากฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาอื่น ๆ อีก  และต่อมามีผู้นำมาแปลเป็นภาษาฮินดี  เรียกชื่อเรื่องว่า  ไพตาลปัจจีสี  (Baital Pachisi)  รวมทั้งยังมีการนำมาแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกแทบทุกภาษา
ผู้แต่ง
พระราชวงศ์เธอ  กรมหมื่นพิทยาลงกรณ  (น.ม.ส.)
ลักษณะคำประพันธ์
นิทานร้อยแก้ว  มีบทร้อยกรองแทรกบางตอน
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
ให้ความบันเทิง  และแทรกคติธรรม
ความเป็นมา
                       กรมหมื่นพิทยาลงกรณได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน  จำนวน ๙ เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี.เอช.ทอว์นีย์ อีก ๑ เรื่อง  รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ๑๐ เรื่อง  นิทานเวตาลมีที่มาจากวรรณกรรมของอินเดียทั้งที่เป็นภาษาบาลีและสันสกฤต  มักปรากฏรูปแบบนิทานซ้อนนิทานอยู่เป็นจำนวนมาก นิทานเรื่องใหญ่ของนิทานเวตาลเหล่านั้นเป็นนิทานซึ่งแยกออกเป็น ๑๐ เรื่อง  มีต้นเรื่องและปลายเรื่องกำกับชี้แจงเหตุเกิดของเรื่อง  พฤติกรรมของเวตาลและข้อสรุปซึ่งเต็มไปด้วยสาระ  ความรู้  ความสนุกสนาน และยังมีบทร้อยกรองที่แฝงคติธรรมแทรกอยู่โดยตลอด
                  "ครั้งนี้ข้าพเจ้าให้เกิดกระเหม่นตาซ้าย หัวใจเต้นแรงแลตาก็มืดมัวเป็นลางไม่ดีเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็จะเล่าเรื่องจริงถวายอีกเรื่องหนึ่ง  แลเพราะเหตุข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการถูกแบกสะพายไปมาเป็นหลายเที่ยวแล้ว  แม้พระองค์ไม่ทรงเบื่อเป็นผู้แบกก็จริง  ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาที่อยากทูลตามสักที  ถ้าทรงตอบได้  พระปัญญาก็มากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะมีในพระราชาพระองค์ใด"
เรื่องย่อก่อนถึงนิทานเวตาลเรื่องที่ ๑๐
เมื่อ ๒๐๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา  ณ เมืองอุชเชนี (อุชชยินี)  มีพระราชาทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่เลื่องลือ  ทรงพระนามว่า  พระวิกรมาทิตย์  ครั้งนั้นมีโยคีตนหนึ่งชื่อศานติศีลผูกอาฆาตพระราชบิดาของพระวิกรมาทิตย์และประสงค์ที่จะเอาชีวิตพระองค์แทน  ซึ่งพระวิกรมาทิตย์ทรงพระราชสมภพในวัน เดือน ปี และฤกษ์เดียวกันกับตนเพื่อเป็นการบูชานางทุรคา  โดยทำอุบายปลอมตนเป็นพ่อค้านำทับทิมล้ำค่าซ่อนไว้ในผลไม้มาถวายพระวิกรมาทิตย์ทุกวัน  พระวิกรมาทิตย์จึงพระราชทานพระอนุญาตให้พ่อค้าทูลขอสิ่งที่ปรารถนาเพื่อเป็นการตอบแทน  ศานติศีลจึงเผยตัวว่าตนเองเป็นโยคีและทูลขอให้พระวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาลในป่าช้า  เพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างหนึ่ง  และตามสัญญาพระวิกรมาทิตย์จะต้องเสด็จไปกับพระราชโอรสเท่านั้น
                     เวตาลนั้นสิงอยู่ในซากศพซึ่งแขวนอยู่ที่ต้นอโศก  พระวิกรมาทิตย์ต้องทรงปีนขึ้นไปจับตัวเวตาลให้ได้  แต่เวตาลขอสัญญากัพระวิกรมาทิตย์ว่าจะเล่านิทานเป็นปริศนา  หากพระองค์ตรัสตอบเมื่อใด  เวตาลจะกลับไปยังต้นอโศกทันที  เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงสัญญา  เวตาลก็เริ่มเล่านิทานโดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  เมื่อเล่าจบเรื่องก็ถามปัญหา  พระวิกรมาทิตย์เพลิดเพลินกับนิทานจนเผลอตอบปัญหา  เวตาลจึงลอยกลับไปยังต้นอโศก  พระวิกรมาทิตย์ต้องทรงกลับไปจับตัวเวตาลมาอีก  เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงนิทานเรื่องสุดท้ายจึงทรงจับเวตาลและประหารชีวิตโยคี
 เรื่องย่อนิทานเวตาลเรื่องที่ ๑๐ 
                     กล่าวถึงเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อกรุงธรรมปุระ  พระราชาทรงนามท้าวมหาพล มีมเหสีซึ่งยังเป็นสาวงดงามและมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง  ต่อมาพระราชาทรงทราบว่าทหารไพร่พลของตนเอาใจออกห่างไปเข้ากับข้าศึก  รี้พลของตนย่อยยับไป  จึงพาพระมเหสีและพระราชธิดาเสด็จหนีออกจากเมืองมุ่งไปเมืองเดิมของพระมเหสี  ระหว่างทางท้าวมหาพลถูกโจรฆ่าตาย พระมเหสีและพระราชธิดาพากันหนีไป  จนกระทั่งท้าวจันทรเสนและพระราชบุตรที่เสด็จออกมาล่าสัตว์ในป่า  ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของนางทั้งสองก็เสด็จตามไป  และทรงตกลงกันว่าพระราชบุตรจะรับนางที่รอยเท้าเล็กเป็นมเหสีส่วนนางที่เท้าใหญ่ให้เป็นชายาของท้าวจันทรเสน  เมื่อติดตามไปพบท้าวจันทรเสนทรงวิวาหะกับนางที่มีรอยเท้าใหญ่  ซึ่งก็คือพระราชธิดา  พระราชบุตรทรงวิวาหะกับนางที่มีรอยเท้าเล็ก  ซึ่งก็คือพระมเหสีของท้าวมหาพล
        เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า ลูกของท้าวจันทรเสนกับลูกของพระราชาบุตรที่เกิดมาจะเป็นญาติกันอย่างไร  แต่ครั้งนี้พระวิกรมาทิตย์ไม่ยอมตรัสตอบพระธรรมธวัชราชบุตรก็ทรงนิ่งเฉย  จึงเป็นอันว่าพระวิกรมาทิตย์สามารถนำตัวเวตาลไปได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น